ฝรั่งเศส : "ฟุตบอลโลก" กับ "อาถรรพ์แชมป์เก่า"

"ฟุตบอลโลก" ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 (ซึ่งก็คือ ค.ศ. 2001 เป็นต้นมา) แชมเปี้ยนที่จากยุโรป ต้องล้มเหลวทุกครั้งไป ล้มเหลวแบบ..อะไรวะเนี่ย!!

และนั่นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว 100%

"ฝรั่งเศส" (แชมป์บอลโลกปี 1998) มีอันต้องจอดแค่รอบแบ่งกลุ่มในบอลโลกปี 2002 ด้วยการเป็น "บ๊วยกลุ่ม A"

"บราซิล" (แชมป์บอลโลกปี 2002) ผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างสบายในบอลโลกปี 2006

"อิตาลี" (แชมป์บอลโลกปี 2006) ก่อนที่บอลโลกปี 2010 จอดแค่รอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็น "บ๊วยกลุ่ม F"

"สเปน" (แชมป์บอลโลกปี 2010) ก่อนที่บอลโลกปี 2014 จอดแค่รอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็น "อันดับ 3 ในกลุ่ม B"

"เยอรมนี" (แชมป์บอลโลกปี 2014) ก่อนที่ฟุตบอลโลกปี 2018 จอดแค่รอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็น "บ๊วยกลุ่ม F"

คือแบบ 3 จาก 4 ปีบอลโลก แชมป์เก่าจากยุโรปมีอันต้องนอนจมกองเลือดรสบ๊วยเลยน่ะ!!

คือมันต้องติดบัคอะไรสักอย่าง ว่าจะเป็นฟอร์มตกเอย ปัญหาภายในทีมเอย โชคชะตาเอย บลาๆๆ

"ฝรั่งเศส" (บอลโลกปี 2002 : บ๊วยกลุ่ม A) โดยในกลุ่มมีเซเนกัล, อุรุกวัยและเดนมาร์ก

ประเดิมแพ้เซเนกัล 0-1 ที่มีผู้เล่นจากลีกเอิงหลายคน อาทิเช่น เอล ฮัดจิ ดิยุฟ (รุก), โอม่าร์ ดาฟ (แบ็คขวา), เลอมีน ดิยัตต้า (กองหลัง), ซาลีฟ ดิเยา (กลางรับ), คาลิลู ฟาดิก้า (รุก) ฯลฯ

นัดถัดมาก็ยังแก้ตัวไม่ได้ ทั้งที่อุรุกวัยชุดนั้นที่ไม่ได้มีผู้เล่นฝีเท้าชั้นยอดเหมือนช่วง 15 ปีที่ผ่านมา

จบที่เสมอกัน 0-0 อาจเพราะฝรั่งเศสเหลือ 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 25 ด้วยแหละ เมื่อกองหน้า เธียร์รี่ อองรี โดนใบแดง

ก่อนปิดท้ายที่แพ้เดนมาร์ก 0-2 ซึ่งเดนมาร์กก็ยังคงเป็นเดนมาร์ก มีแข้งเก่งๆปะปนเหมือนเคย

นำโดย คริสเตียน โพลเซ่น (กลางรับ), โธมัส กราเวอร์เซ่น (กลางรับ), มาร์ติน เลาเซ่น (กองหลัง), โธมัส โซเรนเซ่น (นายประตู), โธมัส เฮลเว็ค (แบ็คขวา), มาธิอัส ยอร์เกนเซ่น (กองกลาง)และเยสเปอร์ กรุนชาร์ (รุก)

จบทัวร์นาเมนท์นั้นรวม 3 นัด ฝรั่งเศสมีแค่ 1 คะแนน กับสกอร์รวมอยู่ที่ 0-3

"อิตาลี" (บอลโลกปี 2010 : บ๊วยกลุ่ม F) ร่วมกลุ่มกับ ปารากวัย, สโลวาเกียหรือนีวซีแลนด์

ซึ่งคู่แข่งร่วมกลุ่มมีศักยภาพไม่ได้สูง ซุปเปอร์สตาร์แต่ล่ะทีมมีน้อยมาก

เสมอ 1-1 กับปารากวัย ที่นึกตัวเก่งๆออกแค่ 3 กองหน้าอย่าง โรเก้ ซานตาครูซ, เนลสัน วัลเดส และ ลูคัส บาร์ริออส

เสมอ 1-1 กับนีวซีแลนด์ ที่แทบไม่มีใครดัง คิดออกก็แต่ 2 กองหลังพรีเมียร์ลีก ไรอัน เนลเซ่น และ วินสตัน รีดด์

ปิดท้ายด้วยการแพ้ 2-3 ต่อสโลวาเกีย ที่ก็แทบไม่มีใครดังพลุแตก เห็นจะมีแต่ มาร์ติน สเคอร์เทล (กองหลัง) กับ มาเร็ค ฮัมซิค (กองกลาง) ปะปนกับแข้งเกรดรองๆ

แต่ถึงไม่ใช่มะม่วง อิตาลีก็ร่วงมาแล้ว โคตรเหลือเชื่อ!!

"สเปน" (บอลโลกปี 2014 : อันดับ 3 ในกลุ่ม B) โดยในกลุ่มมี เนเธอร์แลนด์, ชิลีและออสเตรเลีย

นัดแรกแพ้เนเธอร์แลนด์ที่เป็นระดับโลก ก็พอเข้าใจได้!! แต่ถัดมามาแพ้ชิลีอีกนี่ดิ 0-2!!

แม้ระบบชิลีจะเขี้ยวลากดิน แถมปีนั้นผู้เล่นโหดพอตัว นักเตะค้าแข้งในลีกดังหลายคนอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ (รุก), เอดูอาร์โด้ วาร์กัส (กองหน้า), เคลาดิโอ บราโว่ (นายประตู), แกรี่ เมเดล (กลางรับ), ฟรานซิสโก้ ซิลวา (กลางรับ), อาตูโร่ วิดัล (กลางรับ)

รวมถึงผู้เล่นสำรองอย่าง การ์ลอส การ์โมน่า (กลางรับ), ฟาเบียน โอเรญาน่า (กลางรุก) หรือเมาริซิโอ ปีนีญ่า (กองหน้า)

นัดสุดท้ายแม้ชนะออสเตรเลียท่วมท้น 3-0 ก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี

"เยอรมนี" (บอลโลกปี 2018 : บ๊วยกลุ่ม F) โดยในกลุ่มมี สวีเดน, เม็กซิโกและเกาหลีใต้

แพ้เม็กซิโก 0-1 ซึ่งเป็นบอลบอลเทคนิค บอลจี๊ดๆคล่องๆ

บวกกับตัวผู้เล่นเม็กซิโกโหดไม่น้อย อีร์วิง โลซาโน่ (รุก), ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เอร์นันเดซ (กองหน้า), การ์ลอส เวล่า (รุก), เฮคตอร์ เฮร์เรร่า (กองกลาง), อันเดรียส กวาร์ดาร์โด้ (กลางรับ), การ์ลอส ซัลเซโด้ (กองหลัง), เฮคตอร์ โมเรโน่ (กองหลัง)และกีเยร์โม่ โอชัว (นายประตู)

ก่อนชนะสวีเดน 2-1 แต่ชนะมาแบบลิ้นห้อยสุดๆ ต้องพึ่งโคตรฟรีคิกสุดคลาสของ โทนี่ โครส ในนาที 90+5

จบตรงนี้เยอรมนียังมีโอกาสไปต่อ แต่นัดสุดท้ายต้องชนะเกาหลีใต้

ทว่าผลกลับเป็นเยอรมนีที่แพ้ 0-2 ซึ่งไม่ว่าเยอรมนีจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ

ก่อนเจอทีเด็ดเกาหลีใต้นาที 90+2 และ 90+5 ทำเอาเยอรมนีตกรอบ สานต่ออาถรรพ์แชมป์จากยุโรปไปอีกปี

ก่อนที่ฟุตบอลโลกปี 2022 จะเปิดฉาก แชมป์เก่าเป็นของ "ฝรั่งเศส"

ก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นต์ พวกเขามีปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บ แนวรุกไร้ คาริม เบนเซม่า ที่มีดีกรีนักเตะบัลลงดอร์ปีล่าสุด

แม้หนักใจ แต่ก็ยังไม่มากเท่าที่ควร เพราะแนวรุกชุดแชมป์ปี 2018 ที่มี อองตวน กรีซมันน์, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์และคิลียัน เอ็มบัปเป้ ซึ่งจัดจ้านกันอยู่แล้ว

ที่น่าหนักใจกว่าควรจะเป็นแดนกลางที่ไร้ ปอล ป็อกบาและเอ็นโกโล่ ก็องเต้

ฝรั่งเศสต้องรวมพลแดนกลาง ด้วยผู้เล่นประสบการณ์น้อยมาแทน ไม่ว่าจะเป็น เอดูอาร์โด้ กามาแว็งก้า (20 ปี), มัตเตโอ เกนดูซี (23 ปี), โอเรเลียง ชูอาเมนี (22 ปี), ยุสซุฟ โฟฟาน่า (23 ปี), ฌอร์ด็อง แวร์ตูร์ (29 ปี)และอาเดรียง ราบิโอต์ (27 ปี)

โดยใน 4 รายแรก นอกจากเป็นดาวรุ่งแล้ว ยังไร้ประสบการณ์ในทีมชุดใหญ่ หรือแม้แต่ผู้เล่นอายุเยอะสุดอย่างแวร์ตูร์ ที่ก็แทบไม่มีส่วนร่วมกับทีมชาติชุดใหญ่

คนที่ดูดีสุดมีแค่ราบิโอต์เท่านั้น เพราะอย่างน้อยก็เคยเป็นแกนหลักในชุดลุยยูโร 2020 ที่ผ่านมา

ยิ่งเมื่อหวนนึกถึงอาถรรพ์แชมป์เก่าจากยุโรป ก็ยิ่งชวนคิดว่าฝรั่งเศสอาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากทีมอื่นๆที่ผ่านมา

แต่ที่ไหนได้ คู่หูแดนกลางที่กลัวจะเป็นปัญหา ทว่าชูอาเมนี่กับราบิโอต์ทำผลงานได้เยี่ยม

บวกกับผู้เล่นโซนอื่นที่แกร่งอยู่แล้ว ฝรั่งเศสชนะ 4 จาก 5 เกม ไล่ตั้งแต่ ออสเตรเลีย, เดนมาร์ก, โปแลนด์และล่าสุดอังกฤษ

แพ้แค่ตูนีเซียนัดเดียว และแพ้แบบรับได้ เพราะฝรั่งเศสส่งสัญญาณผ่อนเกมชัดเจน ด้วยการโรเตชั่นผู้เล่นเยอะ

จนตอนนี้ขึ้นมาอยู่ที่ "รอบรองชนะเลิศ" แถมคู่แข่งเป็น โมร็อกโก ที่ดีกรีถือว่าน้อยสุดใน 4 ทีมสุดท้ายที่เหลือด้วย

และต่อให้เป็นโมร็อกโกชุดที่ท็อปฟอร์มโคตรๆ แต่ส่วนตัวมองว่าดีกว่าต้องเจอสเปนหรือโปรตุเกส ในรอบโคตรลึกแบบนี้

โดยโจทย์แรกที่ฝรั่งเศสต้องพะวง คือทำยังไงก็ได้ให้ลูกบอลผ่านมือนายประตูโมร็อกโกอย่าง ยาสซีน บูนู แค่นั้นเลย

เพราะไอ้ที่สเปนและโปรตุเกสต้องจอด ส่วนสำคัญก็มาจากบูนูนี่แหละ ซึ่งถ้าฝรั่งเศสทำได้ ชะตากรรมน่าจะไม่จบแบบ 2 ทีมเต็งข้างต้น

แล้วยิ่งโชคชะตาเหมือนเอนเอียงให้ฝรั่งเศสอีก เพราะเกมรับอันเป็นจุดเด่นของโมร็อกโก ที่เสียแค่ลูกเดียวจากการทำเข้าประตูตัวเอง ทั้งที่เจอเบลเยี่ยม, โครเอเชีย, สเปนและโปรตุเกส กำลังเจอปัญหา

เมื่อ 2 ปราการหลังคู่กลางคนแกร่ง โรแม็ง ซาอิสส์ (เบซิคตัส)และนาเยฟ อาเกิร์ด (เวสต์แฮม) มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ซ้ำร้ายแบ็คซ้าย นุสแซร์ มาซราอุย (บาเยิร์น มิวนิค) ต้องรอเช็คฟิตอีก

ถึงเวลานี้มองว่าฝรั่งเศสเป็นต่อสุดขีด โอกาสเข้าชิงชนะเลิศมีสูงมากๆ

งานนี้นอกจากฝรั่งเศสจะไม่ติดบัค "แชมป์เก่าบอลโลก" แล้วยังจะมีลุ้นเข้าไปฟาดแชมป์อีกด้วย

เฮ้ย!!อาถรรพ์หนนี้มันจะเหวี่ยงเป็นประตูโดเรม่อนขนาดเลยหรอ แบบส่งตรงจาก "เหวสู่สวรรค์" แบบนี้น่ะหรอ!?