จ่าฝูงลาลีก้าสั่นคลอน เมื่อคราวแอตฯมาดริดไม่เหมือนเดิม
จากที่ลุ้นแชมป์ลาลีก้าสบายๆแบบไร้คู่แข่ง ไปๆมาๆกลายเป็นตอนนี้ระส่ำแล้วสำหรับแอตฯมาดริด
แม้ยังนำรองจ่าฝูง เรอัล มาดริดที่ 3 คะแนน แถมแอตฯมาดริดเตะมากกว่า 1 นัด
แต่ที่น่าสนใจคือ 3 เกมลีกต่อจากนี้ งานแอตฯมาดริดถือว่าหนักล้วนๆ ไม่ว่าจะ บียาร์เรอัล, เรอัล มาดริดและแอธ.บิลเบา
แอตฯมาดริดมีสิทธิ์โดนแซงทุกเมื่อ เอาแค่สุดสัปดาห์นี้ (26 – 28 กุมภาพันธ์ 2564) ล่ะกัน ถ้าแอตฯมาดริดแพ้บียาร์เรอัล แล้วเรอัล มาดริดชนะเรอัล โซเซียดัด
บู้มมมม!! จ่าฝูงเปลี่ยนมือ จะเป็นเรอัล มาดริดทันที (เฮดทูเฮดเรอัล มาดริดดีกว่าแอตฯมาดริด)
ประเด็นสำคัญของแอตฯมาดริดคือเกมรับ เพราะเมื่อก่อนแอตฯมาดริดเสียกันยากมาก เสียแค่ 6 ประตูจาก 16 เกมลีก
และ 2 จาก 6 ประตูที่เสียไป คือโอวน์โกล (ทำเข้าประตูตัวเอง) แบบโชคไม่ดีทั้งกับเรอัล มาดริดและอลาเบส
แต่เหลือเชื่อ 7 นัดลีกต่อมา แอตฯมาดริดไม่มีคลีนชีทสักเกม แล้วโดนมาทั้งสิ้น 10 ประตู
หนักสุดคือ 5 เกมลีกหลังที่เสียต่อนัดคือ 2/2/1/1/2 ซึ่งคำว่า “โดน 2 ประตู” ของแอตฯมาดริด มาเกิดขึ้นเอาตอนนี้หมดเลย
และ 5 เกมเจ้ากรรมนี่ล่ะ ที่ทำให้หายวับไปกับตาสำหรับ 7 คะแนน (เสมอเซลต้าฯ , เสมอเลบานเต้ , แพ้เลบานเต้)
กองหลังในยามขาด สเตฟาน ซาวิชหรือมาริโอ เอร์โมโซ่ คนใดคนหนึ่งไปในตำแหน่งเซนเตอร์ รวมถึงไม่มี 2 แบ็คด้านข้างอย่าง คีร์แรน ทริปเปียร์และย็องนิค การาสโก้ เห็นชัดว่าถึงความแข็งแกร่งที่ลดลง
ขณะที่กองกลาง มาร์กอส ยอเรนเต้ ไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องการนัก โดนขยับไปช่วยริมเส้น เพื่อปกปิดการขาดหายไปของคีร์แรน ทริปเปียร์
รวมถึงต้องขาด โตมาส์ เลอมาร์ เอากลางคัน เพราะติดโควิด 19 ทั้งๆที่กำลังมีบทบาทในทีมที่มากขึ้นแท้ๆ
ทำให้แอตฯมาดริดดูโกลาหลกว่าที่คิด แม้ว่าตราหมีจะมีขนาดทีมที่ใหญ่ มีทางเลือกอื่นๆที่ไม่ขี้เหร่ก็ตาม
แต่ส่วนหนึ่งต้องเข้าใจธรรมชาติที่ว่าการปรับอะไรต่างๆ ยิ่งปรับพร้อมๆกันเยอะจุด ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปด้วย แล้วไหนต้องใช้เวลาสำหรับการจูนให้ลงตัวอีก
เดชะบุญ!!ที่ราหูทำท่าเล่นงานตราหมีเบาลง นั่นคือการกลับมาของสเตฟาน ซาวิช รวมถึง โตมาส์ เลอมาร์ ที่หายจากโควิด 19
ขณะเดียวกัน คีร์แรน ทริปเปียร์ จะพ้นโทษแบนยาว 1 เดือนกว่า ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งแน่นอนว่าทันเกมกับเรอัล มาดริด
แม้ว่าช่วงที่ผ่านมากุนซืออย่างดีเอโก้ ซิเมโอเน่ จะรับศึกหนักที่จัดว่าน่วม จนสั่นบัลลังก์จ่าฝูงเอาเหมือนกัน
แต่นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนให้ซิเมโอเน่ไม่อาจวางเฉย และต้องมีการเตรียมตัวรับมือต่อไป เพราะไม่ว่าจะยังไงทีมลุ้นแชมป์อย่างพวกเขา ก็หลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ในอนาคตไม่ได้อยู่ดี
|